ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คุณคิดว่า โลกนี้ มีจริงรึเปล่า?

                                      “ชีวิตไม่ใช่การค้นหาตัวตน แต่เป็นการสร้างสรรค์มันขึ้นมา”


สมมุติว่า มีห้องอยู่ห้องนึง ผนังตกแต่งด้วยรูปนางแบบชุดว่ายน้ำ เพดานติดแอร์เปิดเบอร์แรงสุด กลางห้องมีเสตอริโออยู่เครื่องนึง เปิดเพลงแดนซ์สุดฮิตดังกระหึ่ม มุมห้องมีโซฟาที่นุ่มสบายที่สุดในโลก บนพื้นมีทุเรียนหมอนทองแกะแล้ววางไว้อยู่ 3 จาน
ถ้าตราบใดที่ยังไม่มีใครย่างกรายเข้าไปในห้อง ถามว่า นางแบบในรูปจะเซ็กซี่หรือไม่ แอร์จะเย็นหรือไม่ โซฟาจะนุ่มหรือไม่ เพลงแดนซ์จะมันตึ้บเร้าใจหรือไม่ และทุเรียนจะอร่อยหวานละมุน มีกลิ่นหอมยวนใจหรือไม่ ?
คิดดูให้ดีนะครับ สรรพสิ่งมีอยู่จริง หรือว่าเป็นเพราะมนุษย์ไปรับรู้มันเข้า มันถึงมีอยู่จริง
ท่านผู้อ่านหลายท่าน อาจจะบอกว่า เฮ้ยบ้าน่า! ยังงี้ก็เท่ากับบอกว่า ไอ้หนังสือที่ชั้นถืออยู่นี่ก็ไม่มีจริง พ่อชั้น แม่ชั้น แฟนชั้น พุงชั้น ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวชั้นนี่ก็ไม่มีอยู่จริงใช่มั้ย ตกลงชั้นคิดไปเองหมดใช่มั้ยเนี่ย บ้าแล้ว ใครจะเชื่อ!
เปล่าครับ ผมไม่ได้บอกว่า หนังสือที่คุณกำลังถืออยู่ พ่อคุณ หรือพุงคุณ ไม่มีตัวตนอยู่จริง ทั้งหมดที่กล่าวมามันเป็นสสาร มีขนาด มีมวล คุณหรือใครก็จับต้องได้ ต่อให้คุณหันไปทางอื่นก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งเหล่านี้มันจะอันตรธานหายไปไหน มันก็ยังอยู่ตรงนั้นของมันนั่นแหละ จะว่าไป กระทั่งสิ่งที่ไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน ก็สามารถมีอยู่จริงได้ เช่นคลื่นเสียงที่ถือกำเนิดจากกล่องเสียงของแม่คุณ หรือคลื่นแสงที่กำเนิดมาจากหลอดไฟ จากนั้นไปตกกระทบที่หน้าหนังสือ แล้วสะท้อนมาเข้าตาคุณอีกที ทั้งหมดนี้มีอยู่จริง ชัวร์ แต่ที่ผมกำลังพูดถึงน่ะ หมายถึงประสบการณ์ความรู้สึกต่างๆ ที่คุณรับรู้ได้จากมันตะหากหนังสือคุณน่ะมีอยู่จริง อันนั้นผมไม่เถียง แต่ผมถามหน่อย ไอ้สีขาวสีแดงที่คุณเห็นตามหน้าต่างๆ เนี่ย มันไปอยู่ที่ไหน เวลาที่คุณไม่ได้มองมัน ความนุ่มของมือแฟนคุณอยู่ไหน เวลาคุณไม่ได้จับมือเค้าอยู่ แล้วความเปรี้ยวของส้มตำล่ะอยู่ที่ไหน เวลาที่คุณยังไม่ได้ตักมันเข้าปาก?
หรือว่าทั้งหมดนี้ เป็นภาพลวง ที่ หัวของคุณสร้างมันขึ้นมา
เราลองมาอ่านเรื่องราวที่ผมสรุปย่อความมาจากบันทึกของคุณหมอคนหนึ่งกัน
…คนไข้คนหนึ่งของผม ได้เสียแขนซ้ายไปเมื่อ 3 ปีก่อน แต่เขายืนยันว่าตั้งแต่นั้นมา ยังคงรับรู้ความรู้สึกจากแขนข้างที่ขาดไปได้อยู่ กระทั่งสามารถบังคับมันได้… เขาเล่าว่า บ่อยครั้ง มักจะเผลอใช้แขนล่องหนของเขาเอื้อมไปหยิบหูโทรศัพท์ หรือไม่ก็โบกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟตามร้านอาหาร…
วันหนึ่ง ผมอยากจะทดสอบอะไรบางอย่าง จึงเรียกเขามานั่งคุยด้วย ผมเอาถ้วยกาแฟตั้งบนโต๊ะข้างหน้าเขา แล้วบอกเขาว่า “ไหนคุณลองยื่นแขนล่องหนคุณมาจับถ้วยกาแฟนี่ซิ” เขาก็ขยับตอแขนที่กุดเหลือแค่ข้อศอกของเขาในลักษณะเหมือนจะยื่นมือออกมา ระหว่างนั้นผมก็ทดสอบด้วยการแกล้งดึงถ้วยกาแฟออกจากตำแหน่งเดิมของมันอย่าง รวดเร็ว
โอ๊ย ! เขาร้องเสียงหลง นี่หมอทำอะไรของหมอน่ะ !
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ?” ผมถาม
ทีหลังหมอห้ามแกล้งแบบนี้อีกนะ ผมกำลังจับถ้วยอยู่… อยู่ดีๆ หมอเล่นกระชากออกแบบนี้ มันเจ็บมากเลยรู้มั้ย!
บันทึกข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือชื่อ Phantoms in the Brain เขียนโดย คุณหมอรามาจันดรัน (Vilayanur S. Ramachandran) ผู้ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสมองและการรับรู้ (Center for Brain and Cognition) อยู่ที่มหาวิทยาลัยประจำรัฐแคลิฟอเนีย ณ ซาน ดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกา (University of California at San Diego)
ในช่วงชีวิตการเป็นแพทย์ของท่านรามาจันดรันผู้นี้ ได้ประสบพบเจอกับคนไข้แขนขาด ขาขาด ที่มีอาการคล้ายคลึงกับกรณีข้างต้นเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ท่านเป็นคนแรกๆ ที่อุทิศตนศึกษาวิจัยในด้านนี้อย่างจริงจัง และเผยแพร่งานเขียนออกไปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งโลกเริ่มที่จะรู้จักและเข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติอันนี้มากขึ้น ปรากฏการณ์ที่ท่านใช้ชื่อเรียกว่า ‘Phantom Limb’ (ถ้าแปลกันแบบแปลชื่อหนังฝรั่ง ก็คือ “ด้วนปิศาจหลอน มฤตยูเงาซ่อนเร้น” ซึ่งผมว่าคำบางคำอย่าไปแปลมันดีกว่า เดี๋ยวจะกลายเป็นกรณีเดียวกับ Joystick = แท่งหฤหรรษ์)
หมอรามาจันดรันยืนยันว่า ความรู้สึกจากแขนที่ไม่มีอยู่จริงของคนไข้ เป็นของจริง
ท่านอธิบายว่า ถึงแม้ตัวอวัยวะจริงๆ จะขาดไปแล้ว แต่สมองส่วนที่เอาไว้รับความรู้สึกจากมันยังมีชีวิตอยู่ และตราบใดก็ตามที่ยังมีกระแสประสาทวิ่งวนไปมาผ่านสมองส่วนนั้น ความรู้สึกจากแขนหรือขาก็สามารถบังเกิดขึ้นได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีแขนหรือขานั้นๆ อยู่ในโลกของความเป็นจริง
สมองส่วนดังกล่าวมีลักษณะเป็นแถบเหมือนที่คาดผม ซึ่งคาดคร่อมอยู่กลางศรีษะค่อนไปทางด้านหลังเล็กน้อย มีชื่อทางวิชาการเรียกว่า Somatosensory Cortex (ดูรูปประกอบ) บนเจ้าแถบนี่ มีสิ่งที่เปรียบเสมือนแผนที่ความรู้สึกของร่างกายส่วนต่างๆ อยู่ เช่นสมมุติว่าเราไปเปิดหัวกะโหลกเพื่อน แล้วเอาไฟฟ้าไปจี้ตรงที่ในแผนที่บอกว่าเป็นแขน เพื่อนมันก็จะรู้สึกเหมือนมีคนมาจับแขนมันอยู่ ถ้าเลื่อนไปจี้อีกที่นึง ซึ่งในแผนที่บอกว่าเป็นบริเวณนม เพื่อนมันก็อาจจะรู้สึกเหมือนมีคนกำลังบิดหัวนมมันอยู่ อะไรทำนองนั้น


แผนที่รับสัมผัสจากอวัยวะต่างๆ บน Somatosensory Cotex (Somato = ร่างกาย Sensory = สัมผัส Cortex = ผิวสมองชั้นนอก)

สังเกตว่า ถ้าอวัยวะส่วนไหนยิ่งเซ้นซิทีฟมาก(เช่น มือกับปาก) ก็จะยิ่งกินพื้นที่รับความรู้สึกบนสมองมาก
พอเอาอัตราส่วนพื้นที่ตรงนี้มาประกอบร่างเป็นตัวการ์ตูนออกมา ก็เลยได้เป็นตัวอุบาทว์ งี่เง่าผิดสัดส่วนอย่างที่เห็น
(เจ้าตัวนี้มีชื่อเฉพาะเรียกว่า Sensory Homunculus ถึงจะน่าเกลียด แต่เนี่ยแหละคือตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ หากว่ากันตามโลกจิตรับสัมผัส)

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากว่าเจ้าสมองแถบนี้มันเกิดทำงานผิดเพี้ยนขึ้นมา?

ในบันทึกของหมอรามาจันดรัน ได้เล่าต่อถึงการทดสอบคนไข้แขนขาดอีกคนนึงไว้ดังนี้
ผมเอาผ้าปิดตาเขาไว้ไม่ให้มองเห็น จากนั้นจึงทดลองเอาคอตตอนบัดจิ้มที่แก้มเขาดู (ผมในที่นี้หมายถึงคุณหมอนะ)
“รู้สึกยังไงมั่งครับ?” ผมถาม
“ก็… หมอก็กำลังจิ้มแก้มผมอยู่ไงครับ” คนไข้แขนขาดตอบ
“แล้วรู้สึกอะไรอีกมั้ย?”“อืมม… มันแปลกมากเลย รู้สึกเหมือนมีคนมาจับที่นิ้วโป้งข้างที่ขาดไปด้วย”
คราวนี้ผมค่อยๆ เลื่อนคอตตอนบัดไปแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากบนของเขา “แล้วตรงนี้ล่ะ?”

“ก็… รู้สึกเหมือนโดนแตะที่ริมฝีปากครับ แล้วก็… เอ่อ… นิ้วชี้… ข้างที่ขาดไป
ปรากฏว่า ในคนแขนขาด นอกจากจะสัมผัสได้ถึงแขนที่ไม่มีตัวตนจริงแล้ว ความรู้สึกที่แก้มกับปาก ยังอุตริไปเชื่อมต่อกับบรรดานิ้วล่องหนที่ขาดไปแล้วด้วยอีกต่างหาก!
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ในสมอง แผนที่รับสัมผัสจากส่วนต่างๆ ของใบหน้า เผอิญอยู่ติดกับแผนที่รับสัมผัสจากนิ้วมือพอดี ทำให้พอมือของจริงไม่อยู่แล้ว ความรู้สึกสัมผัสมันก็เลย “ลาม” ถึงกันได้ง่ายขึ้น… คุณดูรูปประกอบเอาเองแล้วกัน แล้วจะไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมคนไข้ขาขาดหลายคนถึงรายงานกับหมอว่า ทุกครั้งที่เขามีเพศสัมพันธ์ มักจะเกิดความรู้สึกสยิวอย่างประหลาด ณ บริเวณนิ้วเท้าข้างที่ขาดไป!
ความรู้สึกอันบังเกิดจากการกระตุ้นของสรรพสิ่งที่มีอยู่จริง (เช่น ลมพัดใส่หน้า หมาที่บ้านเลียตูด ฯลฯ) ซึ่งเรารู้สึกอยู่ทุกเมื่อเชื่อขณะนั้น แท้จริงแล้ว เป็นโลก “เสมือนจริง” ที่ถูกจำลองขึ้นมาใหม่ให้เหมือนของเดิมมากที่สุดอีกทีหนึ่ง โดยการทำงานอันแยบยลของเซลประสาทและกระแสไฟฟ้าในหัวของเราเอง ทั้งหมดนี้เพื่อให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสอดคล้องสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัว อย่างไรก็ตาม จากตัวอย่างข้างต้น คุณก็ได้เห็นแล้วว่า ต่อให้สรรพสิ่งไม่มีอยู่จริง เราก็ยังสามารถ “รู้สึก” เหมือนมันมีอยู่จริงได้ หากได้รับการกระตุ้นอย่างถูกที่ถูกจุดข้างในสมองของเราโดยตรง
การทดลองสมมุติที่ผมบอกให้คุณไปเปิดกะโหลกเพื่อนแล้วลองเอาไฟฟ้าจี้ดู นั้น จริงๆ แล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ได้ห่างไกลจากความจริงสักเท่าไหร่ ทุกวันนี้ ศัลยแพทย์สมองก็ใช้วิธีการดังกล่าวเป็นประจำอยู่แล้ว ในการผ่าตัดสมองบางประเภท หมอจะไม่วางยาให้คนไข้สลบไป แต่จะให้คนไข้ตื่น มีสติรับรู้ และพูดคุยกับเขาตลอดการผ่าตัด (ตัวเนื้อสมองเองไม่มีเซลรับความรู้สึกเจ็บ) ระหว่างนั้น หมอก็จะคอยเอาที่กระตุ้นไฟฟ้าไปจี้ตามส่วนต่างๆ ของสมอง แล้วถามคนไข้ว่า พอจี้ตรงนี้แล้วรู้สึกยังไงบ้าง คนไข้ก็จะคอยตอบว่า “โอ้ว พระเจ้า มันทำให้ผมคันขามากเลยอะ” หรือไม่ก็ “แอะๆๆๆ อุๆๆๆๆ” แสดงว่าไปจี้โดนจุดที่รับผิดชอบเกี่ยวกับภาษาเข้า อะไรทำนองนั้น ที่หมอต้องทำทั้งหมดนี้ ก็เพื่อที่จะได้คอยหลีกเลี่ยง ไม่ให้เฉือนไปโดนจุดสำคัญ ซึ่งถ้าเผลอพลาดตัดทิ้งไป อาจทำให้คนไข้พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ หรือหมดความรู้สึกทางเพศไปตลอดชีวิต ซึ่งไม่ดีแน่





จุดไหนจี้แล้วได้ผลเป็นยังไงก็เอาป้ายตัวเลขมาแปะทำเครื่องหมายไว้
หากทุกวันนี้เราทำได้ถึงขนาดนี้แล้ว มันน่าคิดมั้ยละครับว่า ในอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นได้อีก? เป็นไปได้มั้ยว่า ต่อไปเราอาจจะมีเทคโนโลยีที่สามารถส่งคลื่นเข้าไปกระตุ้นพิกัดต่างๆ ในสมองได้โดยตรงโดยไม่ต้องเปิดกะโหลกออก เป็นเครื่องสร้างโลกเสมือนจริง ที่สามารถทำให้คุณท่องเที่ยวไปในโลกใต้ทะเลลึกได้ โดยที่ตัวคุณจริงๆ อาจจะนอนอยู่ที่บ้าน เครื่องที่สามารถทำให้คนอ้วนมองเห็นตัวเองเป็นคนผอม เครื่องที่มี Memory Card สามารถเซฟรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ความทรงจำของคุณเอาไว้ได้อย่างชัดเจนครบถ้วน อยากย้อนกลับไปตอนเรียนอนุบาล หรือตอนบอกรักกับแฟนครั้งแรกเมื่อไหร่ ก็แค่เอาไฟล์ที่เซฟไว้ออกมารีเพลย์ อีกหน่อยก็อาจจะมีการลักลอบขโมยเซฟของคนอื่นออกมาขายกันตามพันธุ์ทิพย์ แทนที่จะเป็นแค่วีซีดีภาพหลุดดาราสาวชื่อดัง ซึ่งเอาไว้แค่ดู คราวนี้คุณอาจจะสามารถสวมบทเป็นแฟนหนุ่มของเธอได้อย่างสมบูรณ์ ครบถ้วนกระบวนท่าทุกอรรถรสสัมผัส…
ในภาพยนต์เรื่อง The Matrix นีโอ ตัวละครหลัก หลังจากถูกถอดปลั๊ก ก็ “ตื่น” ขึ้นมาพบกับความเป็นจริง ว่าโลกที่เขารู้จักมาตลอดชีวิต แท้จริงแล้ว เป็นเพียงโลกเสมือนจริง ที่ถูกป้อนใส่สมองเขาผ่านทางอุปกรณ์ไฟฟ้า แม้ว่านั่นจะเป็นเพียงจินตนาการบนแผ่นฟิล์ม แม้ว่าระดับเทคโนโลยีของเราทุกวันนี้จะยังห่างไกล แต่โดยทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นใน The Matrix ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้
โลกเราทุกวันนี้ จะว่าไป มีความจริงอันลี้ลับที่ชวนให้ค้นพบอยู่เต็มไปหมด แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังหลับไหลกันอยู่…

ตื่นได้แล้วครับ.....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น